วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Youtube คืออะไร

Youtube คืออะไรเป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการแลกเปลี่ยนภาพวิดีโอระหว่างผู้ใช้ได้ฟรี โดยนำเทคโนโลยีของ Adobe Flash มาใช้ในการแสดงภาพวิดีโอ ซึ่งยูทูบมีนโนบายไม่ให้อัปโหลดคลิปที่มีภาพโป๊เปลือยและคลิปที่มีลิขสิทธิ์ นอกเสียจากเจ้าของลิขสิทธิ์ได้อัปโหลดเอง เมื่อสมัครสมาชิกแล้วผู้ ใช้จะสามารถใส่ภาพวิดีโอเข้าไป แบ่งปันภาพวิดีโอให้คนอื่นดูด้วย แต่หากไม่ได้สมัครสมาชิกก็สามารถเข้าไปเปิดดูภาพวิดีโอที่ผู้ใช้คนอื่น ๆ ใส่ไว้ใน Youtube ได้ แม้จะก่อตั้งได้เพียงไม่นาน (youtube ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2005) Youtube เติบโตอย่างรวดเร็วมาก เป็นที่รู้จักันแพร่หลายและได้รับความนิยมทั่วโลก ต่อมาปี ค.ศ.2006 กูเกิ้ลซื้อยูทูบ ตอนนี้ยูทูบจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของกูเกิ้ลแล้ว
แหล่งที่มา : http://www.oknation.net/blog/akeyannawa/2009/05/20/entry-1

อนาคตที่เต็มไปด้วยอดีต !?!

อนาคตที่เต็มไปด้วยอดีต !?! ดิฉันมีคำถามที่อยากให้คุณพิจารณาว่า การที่คุณเป็นคนในแบบที่คุณเป็นตอนนี้ หรือสิ่งที่ส่งผลกระทบมาสู่ความรู้สึกนึกคิดและการกระทำของคุณในปัจจุบันนั้น มันมีผลมาจากอดีต หรือว่าอนาคต? คุณคิดว่าอย่างไรคะ? คนส่วนใหญ่มักจะตอบว่า.. “มาจากอดีต!” เช่น การศึกษา การเลี้ยงดู ครอบครัว สังคม สภาพแวดล้อมฯลฯ คุณเห็นด้วยหรือเปล่าคะ? แล้วถ้าดิฉันจะขอให้ลองพิจารณาดูใหม่ว่า มันเป็นไปได้ไหมคะที่คำตอบคือ “มาจากอนาคต!?! ” ลองพิจารณาตัวอย่างนี้ดูนะคะ .. ถ้าพรุ่งนี้คุณกำลังจะไปเที่ยวชายทะเลอันแสนสวยกับคนรู้ใจ 1 อาทิตย์เต็มๆ.. ว้าว! .. ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรคะ? .. อารมณ์ดีใช่ไหมคะ? ทำงานไปอาจจะยิ้มไป ใครมาพูดจาไม่เข้าหูก็ไม่โกรธ ตั้งหน้าตั้งตารอว่าเมื่อไหร่จะถึงวันพรุ่งนี้สักที! .. แต่ถ้าวันสุดท้ายของการพักผ่อนมาถึง..ตอนนี้คุณเป็นอย่างไรคะ? .. อาจจะรู้สึกเหี่ยวเฉาลงเล็กน้อย ไม่อยากให้ถึงพรุ่งนี้เลยใช่ไหมคะ? .. ถ้าคุณรู้สึกเช่นนั้น แสดงว่า “อนาคต มีอิทธิพลต่ออารมณ์ความรู้สึกนึกคิดและการกระทำของคุณในปัจจุบัน!?!” ความจริงแล้วการที่บางคนตอบว่าอดีตก็ไม่ผิดหรอกคะ เพราะเราเป็นคนเอาอดีตไปรออยู่ในอนาคตเรียบร้อยแล้ว ลองดูซิคะว่า คุณเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ไหม? ตัวอย่างเช่น คุณชวนแฟนของคุณไปเที่ยว แต่แฟนคุณไม่ไป วันหลังลองชวนใหม่เป็นครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 แฟนคุณก็ยังไม่ไปอีก คราวหน้าเวลาที่คุณอยากจะไปเที่ยว คุณก็อาจจะไม่ชวนแล้ว เพราะคิดว่า เดี๋ยวเขาก็คงปฏิเสธเหมือนเดิม ใช่ไหมคะ? (คำว่า “เหมือนเดิม” ก็แปลว่า “เหมือนอดีตที่ผ่านมา”) บางคนไปหาลูกค้ารายที่ 1 แล้วถูกปฏิเสธมา พอไปหารายที่ 2 ก็ถูกปฏิเสธอีก ไปหารายที่ 3 ก็ถูกปฏิเสธอีก คราวนี้พอจะไปหารายที่ 4 ทำให้ไม่อยากไปแล้ว เพราะคิดว่า เดี๋ยวก็คงถูกปฏิเสธมาเหมือนเดิมอีกแน่ๆเลย .. เอาล่ะคะ พิจารณาความคิดอันนี้ดูดีๆนะคะว่า “ฉันกำลังจะไปหาลูกค้ารายที่ 4 ในอนาคต แต่ฉันคิดว่า เดี๋ยวรายที่ 4 ก็คงจะปฏิเสธเหมือน 3 รายในอดีตที่ผ่านมา” .. เราจะเอาเสียงปฏิเสธของลูกค้าในอดีตไปรออยู่ในอนาคตเรียบร้อยแล้ว บางคนผิดหวังจากอดีต ทำให้ไม่กล้าตั้งเป้าหมายอีกต่อไป หรือ ตั้งเป้าเล็กลงเยอะ เพราะขาดความมั่นใจ .. บางคนไม่กล้าฝันด้วยซ้ำไปว่าจะรวยได้ เพราะเกิดมาพ่อแม่ก็ยากจน กว่าตัวเองจะทำงานแล้วเก็บเงินได้หลักแสนก็ยังยากเย็นแสนสาหัส แล้วจะเป็นเศรษฐีได้อย่างไร? .. บางคนเคยอกหักมาก่อน ทำให้ไม่กล้ารักใครเต็มร้อยอีก หรือปิดกั้นตัวเองไปเลย เพราะไม่อยากจะเจ็บปวดเหมือนในอดีต เราจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าเรามีชีวิตที่ยึดติดกับ”อดีต”มากแค่ไหน!?! มันได้สร้างข้อจำกัดและส่งผลกระทบมหาศาลเพียงใดในการดำเนินชีวิตของเรา? เราไม่สามารถจะสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆได้ เพราะพื้นที่ในอนาคตของเรามันเต็มไปด้วยอดีตที่เราเอาไปใส่ไว้เองโดยที่เราไม่รู้ตัว ลองคิดดูซิว่า ถ้าเราสามารถเอาอดีตออกจากพื้นที่ในอนาคต แล้วให้มันอยู่ในอดีตได้อย่างแท้จริง แล้วพื้นที่ในอนาคตของเราจะเป็นอย่างไรคะ? มันก็จะว่างเปล่าจากอดีตใช่ไหมคะ? แล้วถ้าอนาคตของเรามันว่างเปล่า อะไรจะเกิดขึ้นได้บ้างคะในความว่างเปล่า? อะไรก็ได้ใช่ไหมคะ? .. ขอเน้นว่า “อะไรก็ได้!” Anything and Everything! ดิฉันจะยกตัวอย่างเรื่อง “ความมหัศจรรย์ของความว่างเปล่า” ให้ฟัง .. นึกภาพกระดานไวท์บอร์ดออกไหมคะ? ถ้ากระดานนี้ถูกเขียนจนลายเลอะเทอะไปหมดแล้ว มันก็จะมีที่ว่างน้อยมากๆเลยให้เราเติมตัวอักษรลงไป แต่ถ้าดิฉันลบกระดานนี้ให้สะอาดเลย กระดานนี้ก็จะว่างเปล่า ดิฉันสามารถที่จะเขียน “อะไรก็ได้” ลงไปบนกระดานแผ่นนี้ .. กขค ก็ได้, ABC ก็ได้, วาดรูปก็ได้ฯ คนที่คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมาบนโลกใบนี้ได้ เพราะพวกเขาไม่ยึดติดอยู่กับอดีต เขาไม่สนใจว่าอดีตจะเคยมีมาก่อนหรือไม่ เคยทำได้หรือไม่ได้ เขารู้แต่ว่าเขาอยากจะสร้างสรรค์อะไรลงไปในอนาคต .. “อนาคตที่ว่างเปล่าจากอดีตและเต็มไปด้วยความเป็นไปได้!!!” มันน่ามหัศจรรย์ไหมคะที่ “เครื่องบิน” ซึ่งทำจากเหล็กที่หนาและหนักหลายพันตันจะลอยอยู่บนฟ้าได้! หรือ “ยานอวกาศ” สามารถลอยออกไปนอกโลกและไปร่อนลงดวงจันทร์ได้! “อินเตอร์เน็ท” สามารถติดต่อกับคนได้ทั่วโลกภายในเสี้ยววินาที! .. และยังมีสิ่งที่ดูไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นไปได้อีกมากมาย! ครั้งแรกที่คนพวกนี้บอกเพื่อนของเขาถึงสิ่งที่เขาคิดจะประดิษฐ์ขึ้นมานั้น พวกเพื่อนๆของเขาคงหัวเราะเยาะและไม่เชื่อว่ามันจะเป็นไปได้ เพราะในอดีตเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่เคยมีมาก่อน เขาจึงคิดว่าสิ่งประดิษฐ์แบบนี้ เป็นไปไม่ได้! ในงานสัมมนา“ปลุกยักษ์” ดิฉันจะให้ “คาถามหัศจรรย์” ซึ่งคุณสามารถจะใช้ทะลุทะลวงทะลายกำแพงที่ขวางกั้นหรือหยุดคุณ .. คาถามหัศจรรย์นี้คือคำว่า “มันเป็นไปได้” Anything is Possible! เวลาที่คุณเจอลูกค้าผู้มุ่งหวัง บางทีคุณอาจจะคิดว่า “เขาคงไม่สนใจที่จะซื้อสินค้าหรือมาทำธุรกิจกับเราหรอก” แล้วคุณก็จะผ่านคนนั้นไป ต่อไปนี้ให้เรียกคาถามาใช้บอกว่า “มันเป็นไปได้” แล้วให้เอ่ยปากขายหรือรีครูททันทีเลย โอเคไหมคะ? บางทีคุณอาจจะเคยไปขายหรือรีครูทไว้แล้ว แต่เขาบอกว่าขอคิดดูก่อน พอคุณกลับมา คุณก็จะไม่ติดตามแล้ว เพราะคิดว่าเขาคงไม่สนใจ ในกรณีนี้ก็ให้เรียกคาถามาใช้บอกว่า “มันเป็นไปได้” แล้วให้โทรติดตามผลทันทีเลย โอเคไหมคะ? เรื่องของการทำเป้าซึ่งมีเส้นตายมากำหนดก็เหมือนกัน บางทีเวลาเหลือน้อยลง คุณอาจจะคิดว่า คงทำเป้าไม่ได้แล้ว ดิฉันขอให้คุณเรียกคาถา “มันเป็นไปได้” มาใช้ ให้คุณก็เดินหน้าต่อไปจนกว่าจะหมดเวลา โอเคไหมคะ? แล้วคุณจะพบความมหัศจรรย์จากคาถานี้จริงๆนะคะ! แหล่งที่มา : http://www.coachsiriluck.com/index.php?p=view_article&id=20

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ทำไมต้องบล็อค???

มารู้จักความหมาย ของประโยคคำถาม ที่มักจะมีคนถามผมบ่อย ๆ เวลาไปบรรยายตามที่ต่าง ๆ ว่า “Blog คืออะไร” กันดีกว่าครับ Blog มาจากศัพท์คำว่า WeBlog บางคนอ่านคำ ๆ นี้ว่า We Blog บางคนอ่านว่า Web Log แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งสองคำบ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่านั่นคือบล็อก (Blog) ความหมายของคำว่า Blog ก็คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาของ blog นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เป็นต้น โดยจุดเด่นที่ทำให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเอง ใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อกบางแห่ง จะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่นกลุ่มเพื่อน ๆ หรือครอบครัวตนเอง มีหลายครั้งที่เกิดความเข้าใจกันผิดว่า Blog เป็นได้แค่ไดอารี่ออนไลน์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไดอารี่ออนไลน์เปรียบเสมือน เนื้อหาประเภทหนึ่งของบล็อกเท่านั้น เพราะบล็อกมีเนื้อหาที่หลากหลายประเภท ตั้งแต่การบันทึกเรื่องส่วนตัวอย่างเช่นไดอารี่ หรือการบันทึกบทความที่ผู้เขียนบล็อกสนใจในด้านอื่นด้วย ที่เห็นชัดเจนคือ เนื้อหาบล็อกประเภท วิจารณ์การเมือง หรือการรีวิวผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ตัวเองเคยใช้ หรือซื้อมานั่นเอง อีกทั้งยังสามารถ แตกแขนงไปในเนื้อหาในประเภทต่าง ๆ อีกมากมาย ตามแต่ความถนัดของเจ้าของบล็อก ซึ่งมักจะเขียนบทความเรื่องที่ตนเองถนัด หรือสนใจเป็นต้น จุดเด่นที่สุดของ Blog ก็คือ มันสามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่ชัดเจนของบล็อกนั้น ๆ ผ่านทางระบบ comment ของบล็อกนั่นเอง ในอดีตแรกเริ่ม คนที่เขียน Blog นั้นยังทำกันในระบบ Manual คือเขียนเว็บเองทีละหน้า แต่ในปัจจุบันนี้ มีเครื่องมือหรือซอฟท์แวร์ให้เราใช้ในการเขียน Blog ได้มากมาย เช่น WordPress, Movable Type เป็นต้น ผู้คนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก หันมาเขียน Blog กันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่นักเรียน อาจารย์ นักเขียน ตลอดจนถึงระดับบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้น NasDaq เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา Blog เริ่มต้นมาจาก การเขียนเป็นงานอดิเรก ของกลุ่มสื่ออิสระต่าง ๆ หลาย ๆ แห่งกลายเป็นแหล่งข่าวสำคัญ ให้กับหนังสือพิมพ์หรือสำนักข่าวชั้นนำ จวบจนกระทั่งปี 2004 คนเขียน Blog ก็ได้รับการยอมรับจากสื่อและสำนักข่าวต่าง ๆ ถึงความรวดเร็วในการให้ข้อมูล ตั้งแต่เรื่องการเมือง ไปจนกระทั่ง เรื่องราวของการประชุม ระดับชาติ และจากเหตุการณ์เหล่านี้ นับได้ว่า Blog เป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ไม่ต่างจาก วีดีโอ , สิ่งพิมพ์ , โทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งวิทยุ เราสามารถเรียกได้ว่า Blog ได้เข้ามาเป็นสื่อชนิดใหม่ ที่สำคัญอย่างแท้จริง สรุปให้ง่าย ๆ สั้น ๆ ก็คือ Blog คือเว็บไซต์ ที่มีรูปแบบเนื้อหา เป็นเหมือนบันทึกส่วนตัวออนไลน์ มีส่วนของการ comments และก็จะมี link ไปยังเว็บอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย อ่านจบบทความนี้ คิดว่าหลาย ๆ ท่านน่าจะเข้าใจว่า Blog คืออะไร เพิ่มขึ้นมากแล้วนะครับ